วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

Mastering Search – Exercise Questions




Exercises 1

1.1 Which queries would match a page containing “GoogleGuide”?  
  • a.guide 
  • b.leg
  • c.googleguide
  • d.GoogleGuide 
  • e.google

ตอบ

  • a. guide ไม่เจอ เนื่องจาก ไม่มีคำว่าGoogle
  • b. leg ไม่เจอ เนื่องจาก ไม่เกี่ยวกับคำที่จะค้นหา
  • c. googleguide เจอ เนื่องจาก ใช้คำได้ตรงและตัวอักษรจะใหญ่หรือเล็กก็ไม่มีผล 
  • d. GoogleGuide เจอ เนื่องจาก ใช้คำได้ตรงและตัวอักษรจะใหญ่หรือเล็กก็ไม่มีผล 
  • e. google ไม่เจอ เนื่องจาก ไม่มีคำว่าGuide

1.2 Which words the following query will find:
  • a.non-profit 
  • b.non profit 
  • c.Nonprofit

ตอบ สามารถหาผลลัพธ์ว่า non profit เจอทั้งข้อ a. non-profit, b. non profit และ c. Nonprofit



Exercises 2

2.1 How many square kilometers are 1000 acres? 

ตอบ 1000 เอเคอร์ = 4 046 856.42 ตารางกิโลเมตร


2.2 What is patent 5123123 about? 

ตอบ patent 5123123 คือ Bathtub overflow control device ใช้ http://www.google.com/patents


2.3 How was the Polish city BILGORAY spelled in Hebrew in a picture of a page from a book written there? 

ตอบ בילגאריי จาก Website: http://en.wikipedia.org/wiki/Bi%C5%82goraj


2.4 Find a paper by Ericson about the effects of anti-depressants during pregnancy. 

ตอบ บทความเรื่อง Delivery outcome after the use of antidepressants in early pregnancy โดย Ericson จาก Website: http://www.springerlink.com/content/rfqtxt8x9143cnl4/


2.5 Find a list of restaurants and synagogues less than a mile far from the Holiday Inn Crowne Plaza at San Francisco Union Square.

ตอบ  ใช้ https://maps.google.co.th/ ค้นหา Restaurants และ Synagogues ที่อยู่ใกล้เคียง The Holiday Inn Crowne Plaza

Restaurants
  • Sons & Daughters Restaurant 
  • Harry Denton's Starlight Room Synagogues 
  • Congregation Keneseth Israel 
  • Diocese of the West

Exercises 3

3.1 Search for a keyword in a big website (example "acid rain" site:epa.gov)
  • use several search engines. 
  • How many results do you get? 

ตอบ
 
 Web results for: "acid rain" site:epa.gov
  • www.aol.com 34,200 results
  • www.bing.com 19,100 results
  • www.google.co.th 35,400 results
  • www.yahoo.com 24,700 results

3.2 What is the zipcode of 8 Hachermon st. in Kfar Sava? 

ตอบ 44252 ค้นโดย https://maps.google.co.th/ คำว่า 8 Hachermon st. in Kfar Sava.


3.3 What was the exchange rate of Canadian dollars (in us dollars) from 20 Sep 1991? 

ตอบ 0.88067 USD ค้นโดย http://www.tititudorancea.com/z/fx_cad_19910920.htm


3.4 What was the value of Berkshire stock (BRK.A) on Nov. 12 1996? 

ตอบ $33,500 ค้นโดย http://books.google.co.th/ คำว่า the value of Berkshire stock (BRK.A) on Nov. 12 1996


3.5 Who designed Teldan’s website, as existed in May 1998? 

ตอบ   Catom web design

3.6 בשיר עברי המנה השניה היא הרימון, מהי המנה הראשונה? 

ตอบ 

3.7 באיזו עיר בישראל גרה דודתו של אברמוביץ אברהם (בומי) ז"ל? Example:http://www.izkor.gov.il/izkor86.asp?t=90024 

ตอบ

3.8 Find a website/database relevant to your work study. 
Example: market research, news, stock exchanges, industry.

ตอบ เว็บไซต์ http://www.tma.or.th/ เกี่ยวข้องกับการจัดการธุรกิจ 



Exercises 4

4.1 What are the relevant/related topics to “billing software”? 

ตอบ Invoicing software, accounting software

4.2 Find authoritative press releases sites. 

ตอบ เว็บไซต์ : http://www.aljazeera.net/


4.3 How much is 1 US$ today? 

ตอบ 1 US$ เท่ากับ 30.9664 บาท (ประจำวันที่ 28-09-2555) 
Website:www.bot.or.th/Thai/Statistics/FinancialMarkets/ExchangeRate/_layouts/Application/ExchangeRate/ExchangeRate.aspx


4.4 What is the meaning of the word “Google”? 

ตอบ  "Google" มาจากคำว่า "Googol" ซึ่งหมายถึง จำนวนทางคณิตศาสตร์ที่หมายถึงเลข 1 แล้วตามด้วยเลข 0 อีกหนึ่งร้อยตัว หรือ 10100 เพื่อเป็นการแสดงถึงเป้าหมายของบริษัทที่จะจัดการกับข้อมูลจำนวนมหาศาล

4.5 Find technical, non-commercial, papers about “search engine personalization”. 

ตอบ http://searchenginewatch.com/article/2064121/Searching-for-Search-Engine-Personalization

4.6 How much a 17’’ flat computer monitor cost?

ตอบ ราคาจอคอมแบบ flat ขนาด 17 นิ้ว จะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ เช่น Brand (ตราสินค้า) Model (รุ่นสินค้า) เป็นต้น


Exercises 5

5.1 Which search engine was named after a song from a Disney movie? 
ตอบ http://disney.go.com/search/


5.2 Why Arrack turns white when mixed with water? 
ตอบ This dilution causes the clear liquor to turn a translucent milky-white color; this is because anethole, the essential oil of anise, is soluble in alcohol but not in water.
http://en.wikipedia.org/wiki/Arak_(drink)



5.3 How many employees Team company (Israel) has? 
ตอบ 1,100 employees team company ค้นโดย http://www.jobs-israel.com/content.aspx?Category=779  

5.4.Find other websites related to MindBranch. 
ตอบ www.mindbranch.com 

5.5 Find statistics on how much time Americans spend, on average, searching for information on the Internet. 
ตอบ 5.5 On average, Americans spend 14 hours per week searching for information.
Website: http://www.foremostmedia.com/Services/SearchEngineMarketing/tabid/456/Default.aspx


5.6 Find statistics on how long it takes for people searching for information to get frustrated when they don’t find what they want?
ตอบ 5.6 Americans spend 9,000,000 hours per day searching for misplaced item.
Website: http://overallorganizing.org/



Exercises 6

Find a website that displays the following real-time flight information:

ตอบ เว็บไซต์ : http://planefinder.net/


Search Engine Optimization Process



Search Engine Optimization (SEO) คืออะไร ?



          การใช้งาน Search Engine โดยทั่วไปเพียงแค่กรอกคำค้นหาหรือที่เรียกว่า Keyword เท่านั้น Search Engine จะไปค้นหาข้อมูลเนื้อหาเว็บเพจที่ถูกจัดเก็บบนฐานข้อมูลโดยจะนำข้อมูลที่ตรงกับ Keyword แสดงเป็นรายชื่อของเว็บเพจเรียงลงมาตามอันดับซึ่ง Search Engine อาจแบ่งรายชื่อเว็บเพจออกเป็น 10 รายชื่อต่อหนึ่งหน้า การจัดเรียงอันดับรายชื่อเว็บเพจนี้ เรียกว่า Rank ซึ่งทุกองค์กรจะต้องให้ความสำคัญเพราะนั่นหมายถึงโอกาสที่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของแต่ละองค์กรจะสามารถพบและเข้ามาชมเว็บไซต์ได้ โดยถ้าเว็บไซต์ของเราได้รับการจัดอันดับอยู่อันดับต้นๆ อย่างต่อเนื่อง ก็จะส่งผลให้มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมอย่างสม่ำเสมอ (Junghoo Cho,2004)

          อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีเว็บไซต์อยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้เว็บไซต์ของเราไม่ได้รับการจัดอันดับอยู่ในอันดับต้นๆ และผู้ใช้อาจหาเว็บไซต์ของเราไม่พบซึ่งจะทำให้สูญเสียโอกาสทางธุรกิจได้  ดังนั้นแนวทางเทคนิคที่ทำให้เว็บไซต์ถูกแสดงในอันดับต้นๆ ของการค้นหา โดยใช้วิธีที่เรียกว่าการทำ 
Search Engine Optimization (SEO)

          จึงสรุปได้ว่า Search Engine Optimization (SEO) คือ เทคนิคการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้เว็บไซต์อยู่ในอันดับต้นๆ (Rank) ของการ แสดงผลจาก SearchEngine


ขั้นตอนของ Search Engine Optimization Process มีด้วยกัน 10 ขั้นตอน คือ




ขั้นตอนที่ 1 : การวิเคราะห์เบื้องต้น (Initial Analysis) 


          กระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine Optimization process) เริ่มต้นด้วยการดำเนินการวิเคราะห์เว็บไซต์ในสภาพปัจจุบัน โดยทำการประเมินผลและตรวจสอบตำแหน่งของเว็บไซต์ เพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนกลยุทธ์ นำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine Optimization) ให้สามารถทำงานเพื่อส่งเสริมและพัฒนาเทคนิคการปรับแต่งเว็บไซต์ ให้เว็บไซต์อยู่ในอันดับต้นๆ 

โดยให้ทำการการวิเคราะห์เบื้องต้น ดังนี้
  • ประเมินผลทางเทคนิคของเว็บไซต์ถึงจุดที่แข็งแกร่งและอ่อนแอของเว็บไซต์ 
  • การวิเคราะห์การจัดทำดัชนีของหน้าเว็บ 
  • การวิเคราะห์การจัดอันดับของเว็บไซต์ในปัจจุบันจากเครื่องมือค้นหาต่างๆ 
  • การวิเคราะห์ปัจจัยที่มีการป้องกันเว็บไซต์ให้ได้รับการค้นหาในอันดับที่ดี  
  • คำหลักที่ใช้ในการค้นหาเว็บไซต์ 
  • การวิเคราะห์ความเข้ากันได้ของเครื่องมือค้นหากับเว็บไซต์ 
  • การวิเคราะห์โครงสร้างของเว็บไซต์

ขั้นตอนที่ 2 : การวิจัยและวิเคราะห์คำหลัก (Keyword Research and Analysis) 


   การวิจัยและวิเคราะห์คำหลัก (Keyword) เป็นหนึ่งในส่วนที่สำคัญที่สุดของกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine Optimization process) โดยให้ทำการคัดเลือกคำหลักหรือวลีที่เหมาะสม ที่ผู้ใช้งานอาจเลือกใช้ในการค้นหาจากเครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้มีการวิจัยและวิเคราะห์คำหลักหรือวลีที่ผู้ใช้งานอาจพิมพ์ไม่ถูกต้อง เพื่อให้คำหลักนั้นสามารถนำไปตรวจสอบกับฐานข้อมูลของเครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine ) แล้วระบุไปยังข้อมูลเป้าหมายได้ ซึ่งจากการวิจัยและวิเคราะห์คำหลัก แล้วทำการคัดเลือกคำหลักที่เหมาะสมนั้น ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อเว็บไซต์ ทั้งในการช่วยลดต้นทุน การเติบโตทางการตลาด และการประสบความสำเร็จในระยะยาว 

โดยการวิเคราะห์นี้ประกอบด้วย
  • แนะนำคำ 
  • การวิจัยเอกสารคำค้นหารายเดือน 
  • ประสิทธิภาพดัชนีของคำหลัก 
  • การจัดลำดับของคำหลักในปัจจุบัน 
  • อัตราผลตอบแทนจากคำหลักแต่ละคำ

ขั้นตอนที่ 3 : การวิเคราะห์คู่แข่ง (Competitor Analysis)


          การวิเคราะห์เว็บไซต์ของคู่แข่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine Optimization process) ที่ประสบความสำเร็จ การวิเคราะห์เว็บไซต์ของคู่แข่งจะบอกให้ทราบถึงทุกอย่างที่เราจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับเว็บไซต์ของคู่แข่ง เช่น จำนวนการเชื่อมโยงที่ชี้ไปยังเว็บไซต์ของคู่แข่ง การมองเห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของเว็บไซต์คู่แข่ง การจัดลำดับของคู่แข่งในปัจจุบันที่ดูได้จากเครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine) เป็นต้น ซึ่งช่วยให้สามารถวางแผนกลยุทธ์เพื่อสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่ง หนึ่งในวิธีการสร้างข้อได้เปรียบ คือ ให้ดูการเชื่อมโยงในเว็บไซต์ของคู่แข่งและใส่เว็บไซต์ของเราไว้ในลิงค์รายการของพันธมิตร โดยเว็บไซต์เหล่านี้จะได้รับการเชื่อมโยงกลับไปยังเว็บไซต์ของเรา 

          นอกจากนี้ การวิเคราะห์เว็บไซต์ของคู่แข่ง ยังช่วยให้สามารถสร้างความแตกต่างเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า หรือมีต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่งอีกด้วย


ขั้นตอนที่ 4 : แผนผังและการรวมตัวดึงข้อมูล (Sitemap + RSS feed Inclusion) 



Sitemap คืออะไร ?


          Sitemap หรือที่เรียกว่า "แผนผังเว็บไซต์" หรือ "แผนที่เว็บไซต์" เป็นส่วนหนึ่งของเว็บไซต์ ที่อธิบายถึงโครงสร้างของเว็บไซต์ได้ทั้งหมด ซึ่ง Sitemap จะเป็นเหมือน "สารบัญ" หรือ "หน้าดัชนี" ของเว็บไซต์ ที่รวม Link ทั้งหมดของเว็บไซต์ไว้ภายในหน้าเดียว และยังช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อ Search Engine (เช่น Google ,Bring ,Yahoo) และผู้ใช้งานทั่วไปด้วยอีกด้วย 

          ซึ่งการสร้างปฏิสัมพันธ์ของ Sitemap สำหรับ Search Engine นั้น เพื่อให้ Search Engine เข้าถึงเว็บไซต์ได้ง่าย และเข้ามาเก็บข้อมูลตาม link ที่จัดทำไว้ให้ โดยข้อดีของการทำ Sitemap คือ 
  • ทำให้ผู้ชมเว็บไซต์เข้าใจโครงสร้างเว็บ และเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น 
  • ทำให้ผู้พัฒนาเว็บไซต์เข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ และเห็นภาพรวมของ Link ในเว็บไซต์ ทำให้ง่ายต่อการพัฒนา เนื่องจาก Sitemap จะแบ่งส่วนของเว็บไซต์ ไว้อย่างชัดเจน
  • ทำให้ Bot ของ Search Engine เข้ามาเก็บข้อมูล (index pages) ได้รวดเร็ว และง่ายขึ้น 
  • เป็นส่วนหนึ่งของการทำ SEO (Search Engine Optimization) 

ประเภทของ Sitemap ?

การทำเว็บไซต์ที่ดีควรมี Sitemap ทั้ง 2 รูปแบบ คือ
  1. Sitemap เพื่อให้ Search Engine อ่าน 
  2. Sitemap เพื่อให้ ผู้ใช้งานทั่วไปอ่าน 
          โดยปกติแล้วหากต้องการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อ Search Engine จะต้องทำให้ Sitemap นั้นอยู่ในรูปแบบของภาษา XML ซึ่งจะทำให้ Bot หรือ Spider ของ Search Engine สามารถอ่านแล้วเข้าใจได้ว่านี้คือ Sitemap 

ตัวอย่างของ Sitemap ในรูปแบบ XML เช่น 
  • http://www.sutenm.com/sitemap.xml 
  • http://seo.siamsupport.com/sitemap.xml 
          ส่วน Sitemap สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปควรจะเป็นหน้าที่เรียบง่าย สามารถดูแล้วเข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ทั้งหมดได้ว่าเว็บไซต์มีอะไรบ้าง โดยควรให้เว็บไซต์ดูเรียบง่าย สวยงาม และให้ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถเข้าถึงหน้า Sitemap นี้ได้โดยง่าย 


ตัวอย่างเช่น
  • http://www.sutenm.com/sitemap-page/ 
  • http://www.google.com/sitemap.html


RSS Feed คืออะไร ?

          ปัจจุบัน RSS ถูกนำมาประยุกต์ใช้เป็นรูปแบบกลางในการบริหารข้อมูลทางธุรกิจ และมีการแข่งขันกันสูง โดยเฉพาะธุรกิจที่มีการแชร์ข้อมูล เช่น เว็บไซต์ข่าว เว็บบล็อก ซึ่งจะมีการแสดงข้อมูลบนหน้าต่างพรีวิวแยกต่างหาก เพื่อให้ผู้ใช้ไม่สับสน รวมถึง สามารถสืบค้นข้อมูลได้ 

        RSS ย่อมาจาก Really Simple Syndication คือ บริการที่อยู่บนระบบ อินเตอร์เน็ท จัดทำข้อมูลข่าวสารให้อยู่ในรูปแบบ XML เพื่ออำนวยความสะดวกให้ กับผู้ใช้ โดยส่งข่าวหรือข้อมูลใหม่ๆ ให้ถึงเครื่องตลอดเวลาที่มีการ Update ไม่ต้อง เสียเวลาเปิดเว็บไซต์เข้ามาค้นหา 

ข้อดีของ RSS

        RSS ช่วยลดข้อจำกัดในการคัดลอกข้อมูลในเว็บไซต์ โดยเฉพาะกรณีการละเมิดลิขสิทธิ์ขณะที่ผู้สร้างไม่ต้องเสียเวลาทำหน้าเพจแสดงข่าว ซึ่งต้องทำทุกครั้งเมื่อ ต้องการเพิ่มข่าว โดย RSS จะดึงข่าวมาอัตโนมัติ ทำให้ข้อมูลในเว็บไซต์เป็นศูนย์กลางมากขึ้น

จุดเด่นของ RSS

        คือ ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเข้าไปตามเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อดูว่ามีข้อมูล อัพเดทใหม่หรือไม่ ขณะที่เว็บไซต์แต่ละแห่งอาจมีระยะความถี่ในการอัพเดท ไม่เท่ากัน บางครั้งผู้ใช้ยังอาจหลงลืมจนเข้าไปดูเนื้อหาอัพเดทใหม่บนเว็บไซต์ ไม่ครบถ้วน รูปแบบ RSS จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถรับข่าวสารอัพเดทใหม่ได้ โดยไม่ต้องเข้าไปดูทุกครั้งให้เสียเวลา ซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้งฝ่ายผู้บริโภคและฝ่ายเจ้าของเว็บไซต์ 

          ดังนั้นกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine Optimization process) ในขั้นตอนนี้ จะช่วยให้เว็บไซต์มีการสร้างปฏิสัมพันธ์กับเครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine) ได้อย่างรวดเร็ว และยังช่วยให้ข้อมูลต่างๆที่แสดงอยู่บนเว็บไซต์สามารถอัพเดตได้อยู่ตลอดเวลาอีกด้วย


ขั้นตอนที่ 5 : เครื่องมือค้นหาข้อมูลและการยอมรับการจัดหมวดหมู่ (Search Engine + Directory Submission)


Search Engine คืออะไร ?

        Search Engine คือ เครื่องมือสำหรับค้นหาข้อมูลที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต ด้วยคำค้นต่างๆ ซึ่งข้อมูลนั้น อาจอยู่ในรูปแบบของเว็บไซต์ ไฟล์เอกสาร ไฟล์รูปภาพ สื่อมัลติมีเดีย ไฟล์บีบอัด และรูปแบบอื่นๆ ที่สามารถบันทึกเป็นเอกสารออนไลน์ได้ 

ตัวอย่างเว็บไซต์ที่มีลักษณะเป็น Search Engine มีดังนี้ 
  • http://www.google.com
  • http://www.yahoo.com
  • http://www.live.com
  • http://www.bing.com
  • http://www.ask.com


กระบวนการทำงานของ Search Engine

          โดยปกติแล้ว Search Engine จะมีเครื่องมือที่ชื่อว่า Robot (หุ่นยนต์) ในการสืบค้นเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อนำมาจัดเก็บในระบบฐานข้อมูลด้วยการทำ Index โดย Robot จะเดินทางจากเว็บหนึ่ง ไปอีกเว็บหนึ่งผ่าน Hyperlink ที่มีอยู่ในเว็บไซต์นั้นๆ 

การเรียงลำดับการค้นหาข้อมูล

          Search Engine มีอัลกอลิธึ่มในการจัดลำดับผลลัพธ์การค้นหาแตกต่างกันไป ซึ่งโดยปกติแล้ว ส่วนมากจะเรียงจากความสัมพันธ์กับคำที่ใช้ค้นหา และมีปัจจัยอื่นๆ อีก เช่น ประเทศ ภาษา ขนาดของไฟล์ จำนวนผู้เข้าชม ความถี่ในการอัพเดทข้อมูล จำนวนลิงค์ เป็นต้น


Directory คืออะไร ?

          Directory บางทีเรียกว่า Link Directory คือ ระบบที่เก็บรวบรวมเว็บไซต์ไว้เป็นหมวดหมู่ ซึ่งสามารถแบ่งกลุ่มออกเป็นหมวดหมู่ย่อย ๆ ได้ด้วย เว็บที่ถูกบันทึกในแต่ละกลุ่ม จะต้องมีหัวเรื่องหรือเนื้อหาที่สัมพันธ์กัน เว็บ Directory บางแห่งทำหน้าที่เป็น Search Engine ในตัวเองด้วย บางแห่งมีฟังก์ชั่นให้โหวตหาคะแนนนิยมของเว็บเพื่อจัดอันดับ 

ตัวอย่างเว็บไซต์ที่มีลักษณะเป็น Web Directory มีดังนี้
  • http://www.dmoz.org/ 
  • http://www.directory-index.net/ 
          คือ ถ้ามีผู้สนใจคลิกเลือกรายงานต่างๆ ใน directory ที่จัดสร้างขึ้น จะมีการนำข้อมูลออกมาแสดงผล ตัวอย่างเช่น sanook.com, siamguru.com เป็นต้น

          ดังนั้น หลังจากที่เว็บไซต์ถูกจัดอยู่ในรูปแบบที่ถูกต้องแล้ว เว็บไซต์จะถูกส่งไปยังเครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine) ซึ่งมีมากกว่า 500 เครื่องมือค้นหาข้อมูล โดยให้ทำการลงทะเบียนกับผู้ให้บริการเครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine) เพื่อเป็นการกระตุ้นให้มีผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์และดัชนีบนหน้าเว็บไซต์ทั้งหมด นอกจากนี้ การจัดทำ Directory ยังช่วยให้เว็บไซต์ถูกจัดเป็นหมวดหมู่ ง่ายต่อการค้นหา และยังส่งผลดี คือให้มีการเชื่อมโยงกลับมายังเว็บไซต์ การปรับปรุงการจัดอันดับของเครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine)ความสำคัญของเว็บไซต์ที่มีต่อประชาชน และการจัด Directory ยังสามารถทำหน้าที่เป็น Search Engine ในตัวเองอีกด้วย

ขั้นตอนที่ 6 : เครือข่ายสังคม (Social Book Marking)


          Social Book Marking ได้รับการยอมรับว่าเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพเมื่อโฆษณาเว็บไซต์ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้กับรายการเว็บไซต์บนเว็บ เพื่อที่จะสามารถตรวจสอบและสามารถใช้เว็บได้ในภายหลังเมื่อมีความต้องการ และยังสามารถช่วยจัดอันดับของเครื่องมือค้นหาข้อมูลได้อีกด้วย 

          Social Book Marking ถูกกำหนดโดยวิกิพีเดียเป็นวิธีการสำหรับให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทำการจัดเก็บ ,จัดระเบียบ, ค้นหา, และจัดการบุ๊คมาร์คของหน้าเว็บบนอินเทอร์เน็ต 

ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่าง Social Book Marking และ SEO คือ
  • อาจได้รับลิงก์ย้อนกลับเมื่อทำการบุ๊คมาร์คบนหน้าเว็บไซต์
  • การ bookmarking หน้าใหม่หรือโพสต์บล็อกใหม่บนเว็บไซต์สามารถช่วยให้ได้หน้าเว็บที่จัดทำดัชนีในเครื่องมือค้นหาได้อย่างรวดเร็ว
  • เว็บไซต์บุ๊คมาร์คช่วยให้สามารถใช้แท็ก เพื่อแสดงรายการคำหลักในแท็กและช่วยให้มีการจัดอันดับจากคำหลักเหล่านี้ 

ตัวอย่าง เว็บไซต์ Social Book Marking ที่ได้รับความนิยม
  1. Digg 
  2. Del.icio.us
  3. StumbleUpon
  4. Reddit
  5. Squidoo
  6. Furl
  7. BlinkList
  8. Blogmarks.net
  9. Ma.gnolia
  10. Simpy
  11. Spurl
  12. BlinkBits
  13. Shadows
  14. Raw Sugar 
  15. Yahoo MyWeb

ขั้นตอนที่ 7 : บล๊อกและการสร้างข่าว (Blogs + Press Release Creation) 


Blog คืออะไร ?

          Blog ถูกใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารรูปแบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการประกาศข่าวสาร การแสดงความคิดเห็น การเผยแพร่ผลงาน ฯลฯ และกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ 

          ในปัจจุบันบริษัทชั้นนำต่าง ๆ ของโลก ได้ให้ความสนใจ Blog ซึ่งเป็นรูปแบบของการ Marketing แบบใหม่ เนื่องจาก Blogger จะมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้อ่าน Blog สูงมาก เนื่องจากทั้งสองฝ่าย สามารถโต้ตอบกันได้โดยตรง 

          บางบริษัทใช้ Blog เพื่อเป็นเครื่องมือสื่อสาร หรือ PR ข่าวสารขององค์กร โดยการใช้ Blog เพื่อประกาศข่าวสารนั้น จะดูมีความเป็นกันเอง และเข้าถึงลูกค้าได้อย่างเป็นมิตร เพราะเนื่องจากลูกค้าสามารถฝาก comment หรือสื่อสารกับเจ้าของ Blog ได้ทันที ทำให้บริษัทเอง จะได้ประโยชน์จากคำแนะนำ ที่ตรงไปตรงมาของลูกค้าอีกด้วย บริษัทชั้นนำต่างๆ จึงเลือกที่จะใช้ Blog มาเป็นเครื่องมือทางการตลาด โดยบางแห่งใช้ทั้ง Blog อย่างเป็นทางการของบริษัท แถมยังเปิดให้พนักงานได้เขียน Blog ของตนเอง ซึ่งวิธีการนี้นับเป็นการทำการตลาด โดยการสร้างการรับรู้ตราสินค้า (Brand) โดยทางอ้อมอีกด้วย 

    จากความสำคัญดังกล่าวนี้เอง จึงทำให้บล๊อก (Blog) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine Optimization process) ช่วยให้เว็บไซต์ถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆ เหนือเว็บไซต์ของคู่แข่ง 


ความสัมพันธ์ระหว่าง Blog และ SEO มีดังนี้

          การสร้างบล๊อก (Blog) เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากของกลยุทธ์กระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine Optimization process) ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานเว็บไซต์ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถแสดงความคิดเห็นหรือโต้ตอบความต้องการต่างๆลงในบล๊อกที่ถูกสร้างขึ้น และยังสามารถสร้างหัวข้อที่ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันระหว่างกลุ่มคนหลายๆกลุ่ม การแลกเปลี่ยนบทสนทนา การพูดคุย และการอภิปรายในสังคมออนไลน์ ซึ่งข้อดีอีกประการหนึ่งคือช่วยในการดึงดูดให้มีผู้ใช้งานหรือผู้ที่เข้ามาชมเว็บไซต์มากยิ่งขึ้น 

          นอกจากนี้ การปรับปรุงหรือการเพิ่มเนื้อหาที่มีคุณภาพดีและเนื้อหาที่น่าสนใจไปยังเว็บไซต์อยู่เป็นประจำจะช่วยกระตุ้นให้เครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine) มีการเชื่อมโยงกลับมาที่เว็บไซต์ และช่วยให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์เกิดความความจงรักภักดี ดังนั้น การตั้งค่าบล็อกหรือส่วนข่าวบนเว็บไซต์ จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ง่ายที่สุดในการส่งเสริมการจัดอันดับให้เว็บไซต์อยู่ในอันดับต้นๆ


ขั้นตอนที่ 8 : การเขียนบทความ (Articles Submission) 


          ในขั้นตอนนี้จะเกี่ยวข้องกับการเขียนบทความเพื่อนำเสนอการบริการหรือสินค้าของเว็บไซต์ แล้วทำการส่งบทความไปที่เว็บไซต์บทความต่างๆ ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ ทำให้ผู้ใช้งานที่แตกต่างกันเข้าถึงข้อมูลได้อย่างทั่วถึง และเครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine) สามารถรู้และสื่อสารกับบทความแล้วเชื่อมโยงกลับมายังเว็บไซต์ได้ 

โดยประโยชน์ของการเขียนบทความมีดังนี้
  • สามารถสื่อสารตรงกลุ่มเป้าหมายและมีคุณภาพสูง เพิ่มโอกาสสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 
  • มีโอกาสขายสินค้าหรือบริการได้มากกว่าวิธีการโฆษณาอื่นๆ 
  • มีโอกาสได้รับการจัดอันดับที่ดีบน search engines ไม่ว่าจะเป็น Google, Yahoo, Bing ตาม keyword ที่ได้เลือกเอาไว้ 
  • การสื่อสารจะเพิ่มขึ้นทุกเดือนทั้งจาก search engines เองและ article directories


ขั้นตอนที่ 9 : การเชื่อมโยงเพื่อเป็นที่นิยม (Link Popularity) 


Link popularity คืออะไร ?

          Link popularity เป็นค่าที่บอกจำนวนว่ามีกี่เว็บไซต์ หรือกี่เว็บเพจของเว็บไซต์อื่นๆ ที่เชื่อมโยงลิงก์มายังเว็บไซต์ของเรา

ตัวอย่างของ Link popularity

ยกตัวอย่าง Link popularity ของเว็บไซต์ http://truehits.net มีค่าเป็นเท่าไร ?

1. Google ใช้การค้น เป็น link:truehits.net ดังรูป


2. MSN ใช้การค้น เป็น link:truehits.net ดังรูป


3. Yahooใช้การค้น เป็น link:http://truehits.net ดังรูป



ความสำคัญของ Link popularity ที่มีต่อ SEO

     การเชื่อมโยง (Link) มีความสำคัญต่อการเพิ่มการจัดอันดับของเครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine) เพราะการเชื่อมโยงจะทำให้เกิดการติดต่อสื่อสารกลับมายังเว็บไซต์ และหากสร้างการเชื่อมโยงอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้เว็บไซต์ได้รับผลที่ดีอย่างมาก การสร้างการเชื่อมโยงสามารถสร้างขึ้นในรูปแบบของความเห็นในบล็อก ,ส่งบทความและข่าวประชาสัมพันธ์ ,Social book marking เป็นต้น 


         ถ้าหากเว็บไซต์มี Link popularity สูงจากเว็บไซต์อื่น ๆ ที่มีสถิติผู้เยี่ยม นั่นจะทำให้เว็บไซต์ถูกค้นหาเจอได้ ง่าย ผ่านเว็บไซต์ต่างๆ เหล่านั้นที่ลิงก์มายังเว็บไซต์ และเพิ่มโอกาสที่เครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine) จะเข้ามาสำรวจเว็บไซต์ของเราบ่อยขึ้น และทำให้เว็บไซต์ของเรามีสถิติผู้เยี่ยมชมเพิ่มขึ้นได้ด้วย 

        ซึ่งในปัจจุบันเครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine) ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับ Link popularity ว่าจะจัดอันดับเว็บไซต์คุณอยู่อันดับที่เท่าไร เมื่อเทียบกับเว็บไซต์อื่นๆ หากเว็บไซต์ของเรามี Link popularity สูง ก็มีโอกาสได้รับการจัดอันดับที่สูงกว่าหรือดีกว่าเว็บไซต์ที่มี Link popularity ที่ต่ำกว่า


ขั้นตอนที่ 10 : รายงานผลเครื่องมือค้นหาข้อมูล SERP Report (Search Engine Results Pages)


          การรายงานผลเครื่องมือค้นหาข้อมูล คือ รายงานการจัดอันดับและการวิเคราะห์ซึ่งเป็นรายงานสถิติที่ช่วยให้ทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับโครงการกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine Optimization process) รายงานการวิเคราะห์ประกอบด้วยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ การสื่อสารกับผู้ใช้งานออนไลน์ที่เข้ามาเชื่อมโยง การจัดอันดับของเว็บไซต์ และการเปรียบเทียบการจัดอันดับกับคู่แข่ง โดยการจัดอันดับจะอาศัยคำหลัก (Keyword) ในการจัดอันดับ 

ตัวอย่างเว็บไซต์ การจัดอันดับของเครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine) ได้แก่ Google Bing Yahoo!

ที่มา : http://www.searchenginereports.net/#




แหล่งที่มาของข้อมูล :

http://visionitsolutions.com.au/search-engine-optimization-company.html
http://i-link-solutions.com/seo-process.html
http://www.mediaprecision.co.uk/ten-steps-of-seo.html
http://www.bu.ac.th/knowledgecenter/executive_journal/oct_dec_10/pdf/aw14.pdf
http://seofriendlywebsitedevelopment.blogspot.com/2010/06/initial-analysis-helps-while-starting.html
http://www.beboyzself.com/search-engine-optimization-process/
http://www.plusautomation.com/search-engine-optimization-seo/keyword-research-analysis.htm
http://dvision.in.th/what-to-know/xml-sitemap.html
http://www.sutenm.com/%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD/
http://tech-it-today.blogspot.com/2009/05/feed-rss.html
http://www.workboxs.com/thai/online-marketing/search-engine.html
http://seo.siamsupport.com/blog/web-directory/
http://www.3stepstosearchenginesuccess.com/seo-tips/social-bookmarking-seo
http://www.bigoakinc.com/blog/social-bookmarking-seo-tip-week-8/
http://apavadee771.blogspot.com/2012/06/weblog.html
http://truehits.net/faq/webmaster/seo/link_popularity.php
http://www.searchenginereports.net/#

วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2555

#10 Content Management System


Content Management System


>> Content Management System คืออะไร?
ระบบการจัดการเนื้อหาของเว็บไซต์ (Content Management System: CMS) คือ ระบบที่พัฒนา คิดค้นขึ้นมาเพื่อช่วยลดทรัพยากรในการพัฒนา(Development) และบริหาร(Management)เว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกำลังคน ระยะเวลา และเงินทอง ที่ใช้ในการสร้างและควบคุมดูแลเว็บไซต์  โดยส่วนใหญ่แล้ว มักจะนำเอา ภาษาสคริปต์(Script languages) ต่างๆมาใช้ เพื่อให้วิธีการทำงานเป็นแบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็น PHP, Perl, ASP, Python หรือภาษาอื่นๆ ซึ่งมักต้องใช้ควบคู่กันกับโปรแกรม Web Server(เช่น Apache) และ Database Server(เช่น MySQL)


>> ลักษณะการทำงานของ Content Management System
การทำงานของ CMS เป็นระบบที่แบ่งแยกการจัดการในการทำงานระหว่าง เนื้อหา(Content) ออกจากการ ออกแบบ(Design) โดยการออกแบบเว็บเพจจะถูกจัดเก็บไว้ใน Templates หรือ Themes ในขณะที่เนื้อหาจะถูกจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลหรือไฟล์ เมื่อใดที่มีการใช้งานก็จะมีการทำงานร่วมกันระหว่าง 2 ส่วน เพื่อสร้างเว็บเพจขึ้นมา โดยเนื้อหาอาจจะประกอบไปด้วยหลายๆส่วนประกอบ เช่น Sidebar หรือ Blocks, Navigation bar หรือ Main menu, Title bar หรือ Top menu bar เป็นต้น


>> องค์ประกอบของ Content Management System
            ระบบบริหารจัดการเนื้อหาเว็บไซต์ หรือ CMS ใดๆ ก็ตาม อย่างน้อยจะต้องมีองค์ประกอบอยู่ 3 ส่วนด้วยกัน จึงจะทำหน้าที่เป็น CMS ได้อย่างสมบูรณ์ นั่นคือ

* เครื่องมือจัดการเนื้อหา (Content Management Application : CMA)
มีหน้าที่จัดการเนื้อหาทุกชนิดบนหน้าเว็บเพจไปตลอดอายุของเนื้อหานั้น เริ่มตั้งแต่การสร้าง การรักษา และการลบทิ้งออกไปจากที่จัดเก็บข้อมูล ซึ่งอาจจะเป็นในไฟล์ฐานข้อมูล หรือแยกออกมาเป็นไฟล์ต่างหาก อย่างเช่น รูปประกอบต่างๆ ก็ได้ กระบวนการจัดการเนื้อหาโดยธรรมชาติแล้วจะอยู่ในแบบที่เป็นลำดับขั้นตอนและสำเร็จลงได้ด้วยการทำงานตามลำดับงาน (Workflow) ด้วยเช่นกัน ในส่วนของ CMA ยังช่วยให้นักเขียนของเว็บไซต์ที่ไม่มีความรู้ในภาษา HTML ภาษาสคริปต์ หรือโครงสร้างของเนื้อหาเว็บไซต์ สามารถสร้างเนื้อหาได้โดยง่าย ช่วยให้งานในการสร้างและดูแลเนื้อหาของเว็บไซต์ไม่ต้องการความรู้ระดับของเว็บมาสเตอร์อีกต่อไป การดูแลเนื้อหาของเว็บไซต์ในเวลาหนึ่งๆ อาจจะมีผู้ดูแลเนื้อหาเข้ามาทำงานพร้อมๆ กันหลายๆ คนก็ได้

* เครื่องมือจัดการข้อมูลของเนื้อหา (Metacontent Management Application : MMA)
ข้อมูลของเนื้อหา (Metacontent) หรือข้อมูลของข้อมูล (Metadata) เป็นข้อมูลที่ใช้อธิบายข้อมูลอีกทีหนึ่ง เช่นข้อมูลที่อธิบายว่า เนื้อหา ชิ้นหนึ่งถูกสร้างขึ้นเมื่อไหร่ โดยใคร ถูกจัดเก็บไว้ที่ไหน ถูกใช้งานบนหน้าเว็บเพจไหน และจัดวางบนหน้าเว็บเพจนั้นอย่างไร เป็นต้น การจัดการข้อมูลของเนื้อหายังช่วยให้การควบคุมเวอร์ชั่นของชิ้นส่วนเนื้อหาต่างๆ บนเว็บไซต์ เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย MMA เป็นแอปพลิเคชั่นที่ใช้สำหรับจัดการวงจรทั้งหมดของ Metacontent เช่นเดียวกันกับ CMA ที่จัดการกับวงจรชีวิตของเนื้อหาเว็บไซต์ (Content) ทั้งหมดนั้นเอง

* เครื่องมือนำเสนอเนื้อหา (Content Delevery Application : CDA)
มีหน้าที่ดึงชิ้นส่วนเนื้อหา ออกมาจากที่เก็บ และจัดเรียงลงบนหน้าเว็บเพจด้วยรายละเอียดจาก MMA เพื่อนำเสนอต่อผู้เข้าชมเว็บไซต์ โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ใช้งาน CMS สร้างเว็บไซต์มักจะไม่ค่อยได้ยุ่งเกี่ยวกับ CDA มากนัก นอกจากขั้นตอนการติดตั้งและการกำหนดรูปแบบการแสดงผล หลังจากนั้นก็ปล่อยให้ CDA ทำงานไปตามกระบวนการ นั้นคือ ข้อมูลของเนื้อหา เป็นสิ่งที่บอกต่อ CDA ว่า อะไรคือสิ่งที่จะต้องนำมาแสดง และถูกแสดงอย่างไร ไม่ว่าจะเป็น การจัดวาง สี ช่องว่าง ฟอนต์ ลิงก์ และอื่นๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ผู้ดูแลสามารถเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะได้อย่างยืดหยุ่น โดยการเปลี่ยนเฉพาะในส่วนของข้อมูลเนื้อหา ไม่ต้องไปปรับเปลี่ยนที่ตั้วเนื้อหาโดยตรง คุณสมบัติข้อนี้ทำให้เว็บไซต์สามารถเปลี่ยนดีไซน์ทั้งหมดได้ทั้งกับเนื้อหาที่สร้างมานานแล้ว และกับเนื้อหาที่กำลังจะสร้างขึ้นใหม่ โดยไม่กระทบต่อการทำงานทั้งหมดของเว็บไซต์


>> ข้อดีของ Content Management System
  • ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องการทำเว็บไซต์ เพียงแค่เคยพิมพ์ หรือเคยโพสข้อความในอินเทอร์เน็ต ก็สามารถมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองได้
  • ไม่เสียเวลาในการพัฒนาเว็บไซต์ ไม่เสียเงินจำนวนมาก
  • ง่ายต่อการดูแล เพราะมีระบบจัดการทุกอย่างให้เราหมด
  • มีระบบจัดการที่เราสามารถหามาใส่เพิ่มได้มากมาย อย่างเช่น ระบบ Gallery
  • สามารถเปลี่ยนหน้าตาเว็บไซต์ได้ง่ายๆ เพียงแค่โหลดทีม (Theme) ของ CMS นั้นๆ


>> ข้อเสียของ Content Management System
  • ในกรณีที่ผู้ใช้ต้องการออกแบบทีม (หน้าตาของเว็บ) เอง จะต้องใช้ความรู้มากกว่าปรกติ เนื้องจาก CMS มีหลายๆระบบมารวมกันทำให้เกิดความยุ่งยาก สำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้
  • ผู้ใช้จะต้องศึกษาระบบ CMS ที่ผู้พัฒนาสร้างขึ้นมา เช่นจะต้องใส่ข้อความลงตรงไหน จะต้องแทรกภาพอย่างไร ซึ่งจะลำบากเพียงแค่ช่วงแรกเท่านั้น
  • ในการใช้งานจริงนั้นจะมีความยุ่งยากในการ Set up ครั้งแรกกับ Web server แต่ปัจจุบันก็มีผู้บริการ Web server มากมายที่เสนอลงและ Set up ระบบ CMS ให้ฟรีๆโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

 เมื่อรวมๆข้อดีและข้อเสียดูแล้ว ก็ยังเห็นได้ว่า CMS นั้นก็เป็นระบบที่น่าใช้งานอยู่ดี


>> การประยุกต์ใช้ Content Management System
ระบบ CMS สามารถนำมาประยุกต์ในงานต่างๆ หลากหลาย ตัวอย่างการนำซอฟต์แวร์ CMS มา
ประยุกต์ใช้งาน อาทิเช่น
  • การนำ CMS มาช่วยในการสร้างเว็บไซต์สถาบันการศึกษา ธุรกิจบันเทิง หนังสือพิมพ์ การเงิน การธนาคาร หุ้นและการลงทุน อสังหาริมทรัพย์ งานบุคคล งานประมูล สถานที่ท่องเที่ยว งานให้บริการลูกค้า
  • การนำ CMS มาช่วยในหน่วยงานของรัฐบาล อาทิ งานข่าว งานประชาสัมพันธ์ การนำเสนองานต่าง ๆขององค์กร
  • การนำ CMS มาช่วยในการสร้างเว็บไซต์ส่วนตัว ชมรม สมาคม สมาพันธ์ โดยวิธีการแบ่งงานกันทำ เป็นส่วนๆ ทำให้เกิดความสามัคคี ทำงานมีการทำงานที่เป็นทีมเวิร์คมากขึ้น
  • การนำ CMS มาช่วยในการสร้างเว็บไซต์สำหรับธุรกิจ เอสเอ็มอี โดยเฉพาะสินค้า หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ OTOP ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้
  • การนำ CMS มาใช้แทนโปรแกรมลิขสิทธิ์อื่น ๆ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและง่ายต่อการพัฒนา
  • การนำ CMS มาช่วยในการทำ เว็บไซต์อินทราเน็ต ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ใช้ภายในองค์กร

>> ซอฟท์แวร์ CMS มีอะไรบ้าง?


Drupal - กล่าวได้ว่าเป็น CMS ตัวแรกที่ตัวเองเป็น framework และมีเอกสารประกอบยอดเยี่ยม ทำให้เป็นที่นิยมในหมู่นักพัฒนามาเป็นเวลานาน และได้มีการทำโมเดลทางธุรกิจใหม่ โดยแยกส่วนพัฒนาส่วนที่ต้องจ่ายตังค์ ซึ่งคล้ายๆ กับ Mambo สมัยก่อน เวลาเท่านั้นจะพิสูจน์ว่าโมเดลนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ เวอร์ชันที่มีการปรับเปลี่ยนเยอะคือเวอร์ชันต่อไปคือ 7 เวอร์ชันปัจจุบันคือ 6.2 ซอฟท์แวร์นี้เหมาะสำหรับ เว็บไซต์ที่ซับซ้อนนั้นมีความยุ่งยากมากกว่า WordPress และ Joomla โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะว่ามันมี options จำนวนมากให้เลือก เพราะว่ามันสร้างขึ้นให้มีความยืดหยุ่นสูง จะต้องคิดอย่างรอบคอบ อย่างมีความเข้าใจอย่างเพียงพอ จึงจะสามารถปรับแต่งได้อย่างถูกต้อง



Joomla!ในเวอร์ชัน 1.5 ตัว Joomla! ได้พัฒนาตัวเองเป็น framework ซึ่งสร้างความแตกต่างระหว่าง Mambo กับ Joomla! อย่างชัดเจน เวอร์ชันที่มีการปรับเปลี่ยนเยอะคือเวอร์ชัน 2.0 โดยเวอร์ชันต่อไปคือ 1.6 เวอร์ชันปัจจุบันคือ 1.5.3



WordPress เป็น Open Source CMS ตัวหนึ่งที่มุ่งเน้นในเรื่องของการทำ Web Blog พัฒนาด้วยภาษา PHP และใช้งานร่วมกับฐานข้อมูล MySQL ภายในสัญญาอนุญาตใช้งานแบบ GNU (General Public License) WordPress มีการใช้งานที่ง่าย มีความยืดหยุ่นสูง เป็นที่นิยมของบล็อกเกอร์ทั่วโลกรวมทั้งชาวไทยด้วยเช่นกัน มีผู้พัฒนาปลั๊กอิน และธีม (รูปแบบการแสดงผล) ให้เลือกใช้แบบฟรี ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก มีระบบการทำงานตามมาตรฐาน W3C เช่นเดียวกับ Open Source CMS อื่น ๆ WordPress เป็น CMS ตรงไปตรงมา เรียนรู้ได้ง่ายและรวดเร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการสร้างธีมขึ้นมาใหม่ หรือเพิ่มความสามารถอื่นๆที่ระบบเอื้ออำนวยให้ และง่ายที่เราจะหา add-on modules ที่จะเพิ่มฟีเจอร์ให้กับเว็บไซต์ “WordPress เหมาะสำหรับเว็บไซต์อย่างง่าย ที่ดูดี และไม่ต้องการฟีเจอร์อะไรเป็นพิเศษ



 Mambo - ถือเป็น CMS ต้นแบบของ CMS ดัง ๆ หลายตัว เนื่องจากถูกพัฒนามานานแล้วกว่า 8 ปี มีผู้ดาวน์โหลดไปใช้แล้วกว่า 7 ล้านดาวน์โหลด มีความสามารถและมีความนิยมระดับที่เคยได้รับรางวัล Award-wining content management system มาแล้ว ซึ่งทุกคนสามารถนำ Mambo มาใช้ทำเว็บไซต์ได้จนถึงพัฒนาเป็น Web Application ครอบคลุมตั้งแต่การทำเว็บไซต์บริษัท/องค์กร เว็บไซต์เพื่อการขายสินค้า เว็บท่า เว็บชุมนุม และระบบอินทราเน็ตภายในองค์กร ทั้งนี้ Mambo สามารถนำไปใช้ได้ตั้งแต่เว็บไซต์ส่วนตัว เว็บไซต์สำหรับธุรกิจขนาดเล็กไปถึงเว็บไซต์องค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งความสามารถของ Mambo ที่มีให้นั้นเพียงพอต่อการนำไปในหลายรูปแบบสำหรับผู้ใช้ทุกระดับ Mambo ถูกพัฒนาขึ้นมาจากภาษร PHP สามารถเพิ่มโปรแกรมเสริมมาใช้ในเว็บของตนเองได้และยังนำไป พัฒนาต่อยอดในรูปแววต่าง ๆ ได้ไม่จำกัด เนื่องจากไม่มีค่าลิขสิทธิ์การใช้งานทางทีมพัฒนาได้มีการนำ CakePHP ซึ่งเป็น php framework อันโด่งดังมาเป็นฐานในการพัฒนาในเวอร์ชัน 5.0 โดยมีแนวความคิดว่าจะทำให้ทีมพัฒนาสามารถพุ่งความสนใจในการพัฒนาความสามารถของส่วนหลัก ได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเสียเวลาไปดูส่วน framework ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ดีมาก แต่คงต้องใช้เวลาอีกนานเพราะเวอร์ชันปัจจุบันคือ 4.6.4 เวอร์ชันถัดไปคือ 4.7 และ 4.8



Typo3 - ทั้ง ๆ ที่ตัว Typo3 เป็น framework ที่มีความสามารถสูงมากอยู่แล้ว แต่เพื่ออนาคตที่ดีกว่า ทางทีมพัฒนาได้มีการแยกส่วนการพัฒนาเป็น 3 ส่วน คือพัฒนา Typo3 4, Typo3 5 และ Flow3 ซึ่งเป็น php framwork ซึ่งเป็นอิสระกับตัว Typo3 ซึ่งแนวความคิดนี้คล้าย ๆ Mambo แต่ทาง Mambo เลือก framework ที่มีความสามารถสูงที่มีอยู่แล้ว แต่ทาง Typo3 เลือกที่จะพัฒนาขึ้นมาเองใหม่ เพราะ framework ที่มีอยู่ในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดในการนำมาเขียนเป็น CMS หมู่เทพเลยเลือกที่จะเขียนใหม่มันซะเลย และข้อดีของมันที่คาดว่าจะได้อย่างชัดเจนคือทำให้การติดตั้งง่ายขึ้น (ซึ่งแค่นี้ก็พอแล้ว เพราะ Typo3 มีข้อเสียข้อเดียว คือใช้ยาก) ซึ่งเวอร์ชันที่มีการปรับเปลี่ยนคือเวอร์ชัน 5 โดยกำหนดเวลาออกคือ 8/10/2552 เวอร์ชันปัจจุบันคือ 4.2.1



Elgg เป็น Open Source Software ที่ใช้ในการสร้างเว็บไซต์แบบ Social Networking พัฒนาด้วยภาษา PHP ใช้ฐานข้อมูล MySQL เช่นเดียวกับ Open Source อื่น ๆ รองรับเทคโนโลยี OpenDD, OpenID และ OpenSocial ผู้ใช้งานหรือสมาชิกของเว็บไซต์ นะมีหน้าบริหารจัดการ Profile ของตัวเองรวมถึงสามารถบริหาร Web Blog, Forum, Photo Gallery และ File Repository เป็นต้น โดยสามารถตั้งค่าการเผยแพร่และให้สิทธิ์ในกาเข้าถึงข้อมูลของตนเองได้แต่ละส่วนได้ ทั้งนี้ Elgg สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับระบบ Intranet เพื่อประโยชน์ในการสื่อสารภายในองค์กร




>> แหล่งอ้างอิง