วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

จงตอบคำถามต่อไปนี้



คำถาม




คำตอบ

ข้อที่ 1 

ถาม  ต้องการความเร็วในการเชื่อมต่อเครือข่ายสำหรับเครื่อง Desktop

ตอบ  สายแบบทองแดง เพราะเป็นสายสัญญาณที่นิยมใช้ในการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย ราคาของสายสัญญาณและค่าใช้จ่ายในการติดตั้งมีราคาถูก ราคาของอุปกรณ์ประกอบมีราคาถูก ความเร็วในการเชื่อมต่ออยู่ในเกณฑ์ดี และสามารถทำงานร่วมกับระบบการเชื่อมต่อแบบดั้งเดิมโดยไม่ต้องมีการปรับตั้งเพิ่มเติมมากนัก จากคุณสมบัติดังกล่าว สายแบบทองแดงจึงมีความเหมาะสมสำหรับการเชื่อมต่อเครือข่าย Desktop นอกจากนี้ ชนิดของสายทองแดงที่จะนำมาใช้ในการเชื่อมต่อจะมีรูปแบบแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับรูปแบบโครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Topology) เช่น 
  • ถ้าเชื่อมต่อแบบบัส (Bus) จะใช้สายแบบทองแดง ประเภทสายโคแอกเชียล (Coaxail Cable) 
  • ถ้าเชื่อมต่อแบบสตาร์ (Star) จะใช้สายแบบทองแดง ประเภทสายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีชีลต์ (Unshielded Twisted Pair : UTP) เป็นต้น
ซึ่งคุณสมบัติของสายสัญญาณทั้งสองประเภทจะแตกต่างกัน ทั้งในด้านราคา รูปแบบเครือข่าย และความสามารถในการป้องกันสัญญาณรบกวน ดังนั้นผู้ใช้งานจึงควรพิจารณาในการเลือกซื้อประเภทของสายสัญญาณให้เหมาะสมและคุ้มค่าในการใช้งานและค่าใช้จ่าย


ข้อที่ 2  

ถาม  ต้องการให้ประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อระหว่างวงแลนมีความเร็วสูง

ตอบ สายแบบใยแก้วนำแสง เพราะเป็นสายสัญญาณที่ถือว่ามีความเร็วสูงที่สุดในการเชื่อมต่อด้วยสายสัญญาณแบบอื่นๆ และมีความเร็วใกล้เคียงกับความเร็วแสงมาก เนื่องจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าไม่สามารถรบกวนการรับส่งข้อมูลได้ ซึ่งความเร็วในขณะนี้จะถูกจำกัดด้วยความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลของตัวอุปกรณ์เท่านั้น
การเปรียบเทียบคุณสมบัติ สายแบบใยแก้วนำแสง กับ สายแบบทองแดง 
  • ความสามารถในการส่งข้อมูล : ระบบสายใยแก้วนำแสงมีช่องสัญญาณแบนวิดท์มากกว่า ระบบสายทองแดง UTP มากเมื่อเทียบในระยะทางเดินเท่าๆกัน เช่นระบบใยแก้วนำแสง MuLtimode 62.5/125 ไมครอน มีแบนวิดท์ 160 MHkm (ที่ความยาวคลื่น 850 nm ) ซึ่งถ้าคำนวณเทียบเป็นระยะทาง 100 เมตร แล้วจะพบว่ามีแบนวิทด์เพียง 1 GHz ในขณะที่สายทองแดง UTP Cat 5e จะได้แบนวิทด์เพียง 100 MHz เมื่อวัดในระยะทางที่เท่ากัน
  • การถูกรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า : ระบบสายสัญญาณที่ใช้กับระบบ LAN ส่วนใหญ่จะติดตั้ง ภายในอาคาร ซึ่งแวดล้อมไปด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จะมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับสถานที่นั้นๆ โดยที่คลื่นแม่เหล็กอาจเกิดมาจากหลายสาเหตุเช่น การติดตั้งระบบสายทองแดง UTP ใกล้ระบบสายไฟฟ้าก็อาจถูกรบกวนด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็ได้ ในขณะที่การใช้ระบบสายใยแก้วนำแสงนั้นถือว่าเป็นการสื่อสารด้วยแสง ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบจากการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แต่อย่างใด
  • ขนาดและน้ำหนัก : สายใยแก้วนำแสงมีขนาดเล็กกว่าและน้ำหนักเบากว่าสายทองแดง UTP อยู่มาก เช่นเมื่อเทียบกับสาย Zip ของใยแก้วนำแสงกับสายทองแดง UTP Cat5e จะพบว่าสาย Zip มีนำหนักเพียง 20 - 50 % ของสายทองแดง UTP Cat5e และยังเป็นการช่วยประหยัดพื้นทที่ได้ถึง 15 %
  • ความปลอดภัย : ความปลอดภัยของการใช้สายใยแก้วจะสูงกว่าสายทองแดงเพราะโอกาสที่จะพ่วงต่อหรือขโมย สัญญาณจากสายใยแก้วนำแสงในระหว่างทางนั้นทำได้ยากกว่าสายทองแดง
จึงสรุปได้ว่าหากผู้ใช้งานต้องการประสิทธิภาพการเชื่อมต่อระหว่างวงแลนมีความเร็วสูง ควรใช้สายสัญญาณแบบใยแก้วนำแสงจึงจะเหมาะสมและตรงกับความต้องการมากที่สุด


ข้อที่ 3 

ถาม  ระยะทางที่สายสัญญาณเดินทางผ่านต้องผ่านเครื่องกำเนิดพลังงานไฟฟ้า

ตอบ  สายแบบใยแก้วนำแสง เพราะสายใยแก้วนำแสงมีแกนกลางของสายซึ่งประกอบด้วยเส้นใยแก้ว หรือพลาสติกขนาดเล็กหลายๆ เส้นอยู่รวมกัน เส้นใยแต่ละเส้นมีขนาดเล็กเท่าเส้นผมและภายในกลวง และเส้นใยเหล่านั้นได้รับการห่อหุ้มด้วยเส้นใยวิ่งอีกชนิดหนึ่งก่อนจะหุ้มชั้นนอกสุดด้วยฉนวน การส่งข้อมูลผ่านทางสื่อกลางชนิดนี้จะแตกต่างจากสื่อชนิดอื่นๆ ซึ่งใช้สัญญาณไฟฟ้าในการส่ง แต่การทำงานของสื่อชนิดนี้จะใช้เลเซอร์วิ่งผ่านช่องกลวงของเส้นใยแต่ละเส้น และอาศัยหลักการหักเหของแสง โดยใช้ใยแก้วชั้นนอกเป็นกระจกสะท้อนแสง การให้แสงเคลื่อนที่ไปในท่อแก้ว สามารถส่งข้อมูลด้วยอัตราความหนาแน่นของสัญญาณข้อมูลสูงมาก เพราะมีแบนด์วิธที่กว้างมาก ทำให่สามารถส่งข้อมูลปริมาณมากได้ด้วยความเร็วสูง และไม่มีการก่อกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า นอกจากนี้ยังส่งข้อมูลได้ในระยะทางที่ไกลกว่าและปลอดจากการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เนื่องจากใช้แสงเป็นตัวนำสัญญาณ


ข้อที่ 4 

ถาม  ต้องการระบบที่ง่ายต่อการตรวจสอบและซ่อมบำรุงกรณีเกิดปัญหาการเชื่อมต่อ

ตอบ  สายแบบทองแดง เพราะมีรูปแบบที่ง่ายในการติดตั้ง ราคาของสายสัญญาณและค่าใช้จ่ายในการติดตั้งมีราคาถูก ราคาของอุปกรณ์ประกอบมีราคาถูก และสามารถทำงานร่วมกับระบบการเชื่อมต่อแบบดั้งเดิมโดยไม่ต้องมีการปรับตั้งเพิ่มเติมมากนัก ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง การบำรุงรักษา และการตรวจสอบ ทั้งในกรณีที่ติดตั้งครั้งแรกหรือเกิดความเสียหายในภายหลัง ซึ่งหากเปรียบเทียบกับสายแบบใยแก้วนำแสงแล้ว จะพบว่า 
  • สายแบบใยแก้วนำแสงมีการติดตั้งและการตรวจสอบความผิดปกติของสายสัญญาณทำได้ยาก
  • การเชื่อมต่อเข้ากับระบบเครือข่ายแบบเดิมไม่สามารถกระทำได้ 
  • อุปกรณ์ประกอบมีราคาสูง
จากเหตุผลข้างต้นนั้น จึงสรุปได้ว่าสายแบบทองแดงเหมาะสมที่สุดในการนำมาใช้เพื่อง่ายต่อการตรวจสอบและซ่อมบำรุงกรณีเกิดปัญหาในการเชื่อมต่อ


ข้อที่ 5

ถาม  รองรับการเพิ่มจุดการเชื่อมต่อสำหรับคอมพิวเตอร์ notebook เพิ่มเติมอย่างน้อย 4 เครื่อง

ตอบ  สายแบบทองแดง เพราะเป็นสายสัญญาณที่ได้รับความนิยมในการใช้งานระบบเครือข่ายมากที่สุดเนื่องจากมีความง่ายในการติดตั้งและสามารถทำงานร่วมกับระบบการเชื่อมต่อแบบดั้งเดิมโดยไม่ต้องมีการปรับแต่งเพิ่มเติมมากนัก เมื่อต้องการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ก็สามารถทำได้ง่าย 
จากเหตุผลข้างต้นจะเห็นได้ว่าสายแบบทองแดงเหมาะสมในการรองรับการเพิ่มจุดเชื่อมต่อสำหรับคอมพิวเตอร์มากกว่าสายแบบใยแก้วนำแสง



ตารางเปรียบเทียบสายสัญญาณประเภทต่างๆ







งานครั้งที่ 2 (23/06/55) : Assignment #4 (สายแบบใยแก้วนำแสง กับ สายแบบทองแดง)

นางสาวอาภาวดี เจจือ รหัสนักศึกษา 53040771 สาขาเทคโนโลยีการจัดการ ชั้นปีที่ 3 กลุ่มที่ 2

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Cloud Computing ?




Cloud Computing คืออะไร


Cloud Computing หรือ การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ

          เป็นลักษณะของการทำงานของผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ผ่านอินเทอร์เน็ต ที่ให้บริการใดบริการหนึ่งกับผู้ใช้ โดยผู้ให้บริการจะแบ่งปันทรัพยากรให้กับผู้ต้องการใช้งานนั้น การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ เป็นลักษณะที่พัฒนาขึ้นต่อมาจากความคิดและบริการของเวอร์ชัวไลเซชันและเว็บเซอร์วิส โดยผู้ใช้งานนั้นไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในเชิงเทคนิคสำหรับตัวพื้นฐานการทำงานนั้น

สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่นี่...    





Cloud Computing มีประโยชน์กับธุรกิจอย่างไร


1. สะดวกด้วยการเชื่อมโยงผ่าน Website 
เราสามารถเชื่อมโยงการทำงานกับเพื่อนร่วมงานเราได้อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย ทุกที่ทุกเวลา ที่สำคัญมี
Innovationใหม่ๆ ให้เราเลือกใช้ได้ทุกวันโดยไม่จำเป็นต้องลงทุนและเสียเวลาในการพัฒนาขึ้นมาใช้เอง

2. Cloud Computing ทำให้พนักงานในองค์กรสามารถทำงานเป็นทีมได้เร็ว 
และมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ทุกคนสามารถพัฒนาและแก้ไขงานบนเอกสารหนึ่งเดียวผ่าน Web browser ย่นย่อระยะเวลางานจากเดิม 1 สัปดาห์ให้เหลือเพียง 15 นาทีได้อย่างไม่น่าเชื่อ

3. Security หรือความปลอดภัยในการเก็บรักษาข้อมูล
มีงานวิจัยพบว่ากว่า 60% ของข้อมูลในองค์กรต่าง ๆ มักหายไป แม้จะมีการ back up ไว้อย่างดี 10 % บ่งบอกว่าการเก็บข้อมูลไว้ในคอมพิวเตอร์นั้นแท้จริงไม่ปลอดภัย และอีก 66 % บอกว่าคนมักทำ Thumb drive หายอยู่ตลอดเวลา Cloud Computing จึงถือเป็นความปลอดภัยที่เปรียบได้กับการฝากเงินไว้กับธนาคาร โดยให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้เก็บรักษาข้อมูลของเราไว้ ยกตัวอย่างเช่น Google วันนี้มีการ back up ข้อมูลไว้กับ Server ทั่วโลก มีระบบ Firewall ที่แข็งแกร่ง 3-4 ชั้นเพื่อใช้ในการป้องกันและรักษาข้อมูลของลูกค้าเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยในการเก็บรักษาข้อมูลจริงๆ

4. การใช้ Cloud Computing ช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกิจได้อย่างมหาศาล  
มีการวิจัยพบว่า หากใช้ Cloud Computing แล้ว ในบางธุรกิจจะสามารถลดต้นทุนได้ถึง 60-80% เพราะกว่า 95% ของเม็ดเงินในองค์กรวันนี้มักต้องถูกจ่ายไปกับการซื้อ Storage เพื่อไว้เก็บรักษาข้อมูลในองค์กร

5. Cloud Computing มี Innovationใหม่ๆ มาให้ได้เลือกใช้เรียกได้ว่าแทบจะทุกวัน 
ตอบสนองความต้องการทางธุรกิจที่หลากหลายในทุกด้าน ล่าสุด Google เน้นเรื่องของนวัตกรรมด้านการแปลภาษา ยกตัวอย่างเช่น ในอนาคตหากผู้ส่งเขียนอีเมลในภาษาหนึ่ง เมื่อถึงผู้รับอีเมลนั้นจะถูกแปลไปเป็นภาษาที่ผู้รับเข้าใจได้อย่างอัตโนมัติ ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจในโลกแห่งอนาคตจะเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีจะเชื่อมโยงทุกชาติทุกภาษาให้กลายเป็นหนึ่งเดียว

6. Cloud Computing จะทำให้ user หรือผู้ใช้สามารถเปลี่ยนแปลง Feature ด้วยตนเอง
Cloud computing จะทำให้คนใช้เวลาในการทำงานตอนเช้าลดลง เพราะสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้แม้กระทั่งที่บ้านของตัวเอง







งานครั้งที่ 1 (17/06/55) : Assignment #3
(Cloud Computing คืออะไรและมีประโยชน์อย่างไรกับธุรกิจในปัจจุบัน)

นางสาวอาภาวดี เจจือ รหัสนักศึกษา 53040771 สาขาเทคโนโลยีการจัดการ ชั้นปีที่ 3 กลุ่มที่ 2

Google Apps ?




Google Apps คืออะไร


         Google Apps คือ แอปพลิเคชันที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดย Google เพื่อให้บริการทางด้านการบริหารจัดการภายในองค์กร ซึ่งได้มีการรวมแอปพลิเคชัน ต่างๆ ที่ถือว่ามีความจำเป็นต่อองค์กรในปัจจุบันอันได้แก่
  • Gmail
  • Google Talk
  • Google Calendar
  • Google Documents เป็นต้น
         ทั้งนี้เราสามารถใช้บริการดังกล่าวได้ฟรี ซึ่งการติดตั้ง Google Apps เพื่อให้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ ทำได้โดยการ configure MX Record พร้อมทั้ง CNAME ของ DNS server ทั้ง บน Windows และ Linux ทำให้ บริษัทหรือองค์กรต่างๆ สามารถใช้ email ในรูปแบบโดเมนของท่านเองได้ ผ่านระบบ Gmail server ซึ่งให้พื้นที่เก็บอีเมล์สูงถึง 7 GB ต่อ account และที่สำคัญไปกว่านั้น Google Apps ยังมีการจัดการเกี่ยวกับ Spam mail และ ไวรัส ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย


สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่...





Google Apps มีประโยชน์อย่างไร


1. การประหยัดค่าใช้จ่ายที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว
          แอปพลิเคชันการส่งข้อความและการทำงานร่วมกันที่ทำงานแบบเว็บของ Google ไม่จำเป็นต้องใช้ฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ และต้องการการดูแลระบบน้อยที่สุด สร้างเวลาเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย และประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับธุรกิจ

2. พื้นที่เก็บข้อมูลมากกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม 50 เท่า
          พนักงานแต่ละรายจะมีพื้นที่เก็บข้อมูลอีเมลขนาด 25 กิกะไบต์ ดังนั้นจึงสามารถเก็บข้อมูลสำคัญและค้นหาได้ทันทีด้วยการค้นหาของ Google ที่มีอยู่ภายในระบบ

3. การช่วยประหยัดเวลา
         Gmail ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้พนักงานสามารถลดเวลาในการจัดการกับกล่องจดหมายของตน และเพิ่มเวลาในการทำงาน คุณลักษณะที่ช่วยประหยัดเวลา ดังเช่น สายข้อมูลของข้อความ ป้ายกำกับข้อความ การค้นหาข้อความอย่างรวดเร็ว และการกรองสแปมที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้พนักงานสามารถทำงานกับอีเมลปริมาณมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. การเข้าถึงอีเมล ปฏิทิน และ IM บนโทรศัพท์มือถือ
          ด้วยการใช้ตัวเลือกมากมายสำหรับการเข้าถึงข้อมูลขณะเดินทาง พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย Google Apps แม้ว่าจะไม่อยู่ที่โต๊ะของตนก็ตาม Google Apps สนับสนุนการเข้าถึงโทรศัพท์มือถือแบบไร้สายในอุปกรณ์ BlackBerry, iPhone, Windows Mobile, Android และโทรศัพท์หลายประเภทที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่า โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม

5. รับประกันความน่าเชื่อถือของความพร้อมในการทำงาน 99.9%
          เรารับประกันว่า Google Apps จะมีความพร้อมในการทำงานอย่างน้อย 99.9% ดังนั้นพนักงานของคุณจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้มากขึ้น และคุณจะกังวลใจน้อยลงเกี่ยวกับการหยุดทำงานของระบบ 
          การจำลองข้อมูลแบบซิงโครนัส ทำให้ข้อมูลและกิจกรรมของคุณใน Gmail, Googleb ปฏิทิน, Google เอกสาร และ Google Sites มีการเก็บรักษาไว้ในเวลาเดียวกันในศูนย์ข้อมูลที่มีความปลอดภัยหลายแห่ง ถ้าศูนย์ข้อมูลแห่งหนึ่งไม่สามารถตอบสนองคำขอของคุณ ระบบของเราได้รับการออกแบบให้เปลี่ยนกลับไปยังศูนย์ข้อมูลอีกแห่งซึ่งสามารถให้บริการบัญชีของคุณได้โดยที่ไม่เกิดการสะดุดขึ้น

6. ความปลอดภัยของข้อมูลและเป็นไปตามข้อกำหนด
          เมื่อคุณวางใจที่จะมอบข้อมูลของบริษัทแก่ Google คุณสามารถมั่นใจได้ว่าข้อมูลสำคัญของคุณจะปลอดภัย ทีมงานรักษาความปลอดภัยข้อมูลของ Google ซึ่งประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญชั้นนำของโลกในด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูล แอปพลิเคชัน และเครือข่าย มุ่งเน้นที่จะรักษาข้อมูลของคุณให้ปลอดภัย Google และลูกค้าอื่นๆ จำนวนมากวางใจใช้ระบบนี้กับข้อมูลบริษัทที่มีความสำคัญสูง 

7. การควบคุมการดูแลระบบและข้อมูลแบบสมบูรณ์
          ผู้ดูแลระบบสามารถปรับแต่ง Google Apps ในเชิงลึกเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านเทคนิค ตราสินค้า และธุรกิจของตนได้

8. สนับสนุนลูกค้าทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงที่เป็นประโยชน์
          Google Apps มีความน่าเชื่อถือในระดับสูงและทำงานได้อย่างง่ายดาย แต่การสนับสนุนมีให้สำหรับผู้ดูแลระบบ หากคุณต้องการใช้งาน ตัวเลือกการสนับสนุนประกอบด้วย:
  • การสนับสนุนทางโทรศัพท์สำหรับปัญหาร้ายแรง
  • การสนับสนุนทางอีเมล
  • การสนับสนุนทางออนไลน์สำหรับการบริการตนเอง 

        Google Apps ยังมีเครือข่ายพันธมิตรที่พร้อมจะให้   ความช่วยเหลือธุรกิจต่างๆ ในการปรับใช้งาน การโอนย้ายข้อมูล การฝึกอบรมผู้ใช้ การผสานรวมระบบ และการพัฒนาแอปพลิเคชันที่กำหนดเอง 



Google Apps มีการใช้งานอย่างไร



การสมัครใช้บริการ Google Apps

          วิธีการสมัครเพื่อขอใช้บริการ Google Apps เข้าไปที่ https://www.google.com/a/


1. คลิกเลือกประเภทของ Applications

 


2. คลิกที่ปุ่ม "เริ่มต้น" 



3. คลิกปุ่ม "ลงชื่อสมัครเข้าใช้"

 


4. ป้อนชื่อโดเมนของเรา

 


5. กรอกรายละเอียดให้ครบจากนั้นคลิกปุ่ม ดำเนินการต่อปี

ข้อเสนอแนะ : ในช่อง "ที่อยู่อีเมล์" ควรกรอกอีเมล์สำรองที่ไม่ใช่ขององค์กร แต่ควรเป็นฟรีอีเมล์ 
เช่น hotmail หรือ gmail เป็นต้น

 


6. กรอก "ชื่อผู้ใช้" และ "รหัสผ่าน" จากนั้นคลิกปุ่ม "ฉันยอมรับ ดำเนินการตั้งค่าต่อไป"

 


7. หลักจากนั้นจะปรากฏหน้าตาดังภาพด้านล่าง เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการสมัครใช้
บริการ Google Apps




การใช้บริการโปรแกรมต่างๆ บน Google Apps


Gmail 

  • เพื่อรับส่งข้อมูลข่าวสารระหว่างเพื่อนร่วมงาน หรือลูกค้า 
  • เพื่อใช้ข้อมูลย้อนหลังจากการสนทนา ฝากข้อความ หรือ voice mail จากโปรแกรม google talk 
           หมายเหตุ : บริการนี้ต้อง sign in เข้า gmail.com หรือ domain ที่องค์กรเตรียมไว้ให้


Google Talk 

  • เพื่อรับส่งข้อมูลแบบ real time ที่สื่อสารได้ทั้งข้อความ และเสียง รวมถึงการรับส่งแฟ้มข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เหมือนกับโปรแกรม Yahoo , MSN 
  • เพื่อแสดงสถานะการใช้งาน ณ ปัจจุบัน แสดงสถานะอีเมล และติดต่อสื่อสารได้ทันที 
           หมายเหตุ : บริการนี้ต้องติดตั้งโปรแกรม จึงจะใช้งานได้อย่างสะดวก


Google Documents

  • เพื่อใช้งานโปรแกรมจัดการเอกสารแบบออนไลน์ประเภท Word Processing และ Spreadsheet โดยไม่ต้องซื้อหา และใช้งานได้จากทุกที่ ผู้ใช้งานสามารถสร้างเอกสาร Word หรือ Excel เหมือนกับโปรแกรม Word และ Excel ของ Microsoft ได้ นอกจากนั้นยังสามารถ Export ให้เป็นไฟล์ PDF ได้อีกด้วย โดยไฟล์เอกสารต่างๆที่เราสร้างขึ้นจะถูกเก็บไว้ที่เว็บไซต์ของ Google 
  • เพื่อใช้งานเอกสารร่วมกันกับเพื่อนร่วมงาน เช่นการแก้ไขเอกสารร่วมกันหรือ presentation ผ่าน Lan ในห้องปฏิบัติการ 
           หมายเหตุ : ระบบนี้ไม่เปิดให้คนทั่วไป เปิดให้เฉพาะเพื่อนในกลุ่มเท่านั้น


Google Calendar

  • เพื่อนำเสนอ หรือบันทึกกิจกรรม แผนงานที่จะทำในแต่ละวัน 
  • เพื่อใช้แสดงกิจกรรมร่วมกับเพื่อนร่วมงาน ทำให้สะดวกในการตรวจสอบนัดหมาย เช่http://www.google.com/calendar/embed?src=gthaiall%40gmail.com&ctz=Asia/Bangkok


Google Site

  • เพื่อการนำเสนอเว็บเพจที่ใช้งานได้ง่าย นำเสนอแฟ้มข้อมูลประกอบเว็บเพจ ซึ่งจะมี Template ต่างๆ ให้เราได้เลือก การใช้งานก็เหมือนกับการสร้างเว็บบล็อกทั่วๆไป 
  • เพื่อการจัดทำระบบเก็บเอกสารที่เป็นระบบ และใช้งานร่วมกับเพื่อนได้ ช่น http://sites.google.com/site/yonokoit/

          ข้อดีของการใช้บริการ Google Apps นั้นน่าจะอยู่ที่ความสามารถในการทำงานร่วมกับโปรแกรมต่างๆได้อย่างลงตัว เช่นการใช้งาน Gmail ร่วมกับ Google Docs หรือ Google Calendar นอกจากนั้นผู้ใช้งานยังสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ และยังมีฟังก์ชัน  API (Application Programming Interface) ให้เราสร้างโปรแกรมเพื่อใช้ติดต่อกับ Google Apps ได้อีกด้วย


สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่...




         



งานครั้งที่ 1 (17/06/55) : Assignment #3 (Google Apps คืออะไร มีประโยชน์,การใช้งานอย่างไร)

นางสาวอาภาวดี เจจือ รหัสนักศึกษา 53040771 สาขาเทคโนโลยีการจัดการ ชั้นปีที่ 3 กลุ่มที่ 2

ประโยชน์ของ Weblog กับธุรกิจในปัจจุบัน




Weblog คืออะไร


        บล็อก (blog) หรือ เว็บล็อก (weblog) เป็นหน้าเว็บประเภทหนึ่ง ซึ่งคำว่า blog ย่อมาจากคำว่า weblog หรือ web log โดยคำว่า weblog นั้นมาจาก web (เวิลด์ไวด์เว็บ) และ log (บันทึก) รวมกัน หมายถึง บันทึกบนเวิล์ดไวด์เว็บ นั่นเอง

        Blog ถูกใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารรูปแบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการประกาศข่าวสาร การแสดงความคิดเห็น การเผยแพร่ผลงาน ฯลฯ และกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยขณะนี้ได้มีผู้ให้บริการบล็อกมากมาย ทั้งแบบให้บริการฟรี และเสียค่าใช้จ่าย


Weblog มีประโยชน์กับธุรกิจในปัจจุบันอย่างไร ?


         ในปัจจุบันบริษัทชั้นนำต่าง ๆ ของโลก ได้หันมาจับตามอง Blog ซึ่งเป็นรูปแบบของการ Marketing แบบใหม่ เนื่องจาก Blogger จะมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้อ่าน Blog สูงมาก เนื่องจากทั้งสองฝ่าย สามารถโต้ตอบกันได้โดยตรง

         การที่ใช้ Blog มาเป็นเครื่องมือทางการตลาดนั้น อาจเรียกได้ว่าเป็น Buzz Marketing บางบริษัทอาจเลือกเจ้าของ Blog ให้เป็น presenter ให้กับผลิตภัณฑ์ของตนเอง เช่นเสนอสินค้า ให้เจ้าของ Blog นำไปเขียนวิจารณ์หรือเขียนถึงใน Blog ของตนเป็นต้น


         
          บางบริษัทใช้ Blog เพื่อเป็นเครื่องมือสื่อสาร หรือ PR ข่าวสารขององค์กร โดยการใช้ Blog เพื่อประกาศข่าวสารนั้น จะดูมีความเป็นกันเอง และเข้าถึงลูกค้าได้อย่างเป็นมิตร เพราะเนื่องจากลูกค้าสามารถฝาก comment หรือสื่อสารกับเจ้าของ Blog ได้ทันที ทำให้บริษัทเอง จะได้ประโยชน์จากคำแนะนำ ที่ตรงไปตรงมาของลูกค้าอีกด้วย บริษัทชั้นนำต่างเลือกที่จะใช้ Blog มาเป็นเครื่องมือทางการตลาดกันแล้ว โดยบางแห่งใช้ทั้ง Blog อย่างเป็นทางการของบริษัท แถมยังเปิดให้พนักงานได้เขียน Blog ของตนเองอีกด้วย โดยวิธีการนี้นับเป็นการทำการตลาด โดยการสร้างการรับรู้ตราสินค้า (Brand) โดยทางอ้อมอีกด้วย

          เหนือจากองค์กรธุรกิจแล้ว บุคคลที่ทำงานคนเดียวหรือเป็นกลุ่ม สามารถใช้ Blog เพื่อเป็นการเผยแพร่ผลงาน หรือขายสินค้าของตนได้อีกด้วยเช่น ช่างภาพ, ศิลปิน, นักออกแบบ, นักเขียน, นักวาดการ์ตูน , ร้านค้า , ฯลฯ






งานครั้งที่ 1 (17/06/55) : Assignment#3 ( Weblog มีประโยชน์อย่างไรกับแวดวงธุรกิจในปัจจุบัน) 

นางสาวอาภาวดี เจจือ รหัสนักศึกษา 53040771 สาขาเทคโนโลยีการจัดการ ชั้นปีที่ 3 กลุ่มที่ 2

วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Social media กับ Traditional media



การเปรียบเทียบอิทธิพลของ 

Social media กับ Traditional media ในยุคปัจจุบัน


ภาพอธิบายความแตกต่างระหว่าง Social media กับ Traditional media 



Social Media หรือ สื่อสังคมออนไลน์

ตัวอย่าง Social media

          เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ทําให้หลายๆ บริษัทหันมาใช้ Social Media เพื่อเป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์เพื่อธุรกิจ และบริการของตัวเองให้เป็นที่รู้จักในการทําการตลาด โดยเฉพาะในวงการสื่อสารมวลชน ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดได้มีการกล่าวถึง Social Media เป็นอย่างมาก ทําให้ภาคธุรกิจได้ให้ความสําคัญกับ Social Media เพิ่มมากขึ้น เมื่อเทียบ กับการใช้ Traditional Media (โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ เป็นต้น)


ตัวอย่าง Traditional media 

          นอกจากนี้ในยุคปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่ต่างมีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตใช้กันทุกบ้าน social media จึงมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเราในทุกๆ วันด้วย เช่น

  • การตื่นเช้ามาอย่างแรกที่จะทำคือการเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเช็ค facebook หรือข่าวสารต่างๆ
  • การโฆษณาทาง social media มีอัตราการเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ
  • หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับในประเทศไทย ให้บริการ News Content และมีเนื้อที่สำหรับการ โฆษออนไลน์ด้วย หรือจะอ่านหนังสือพิมพ์แบบ e-Newspaper ได้โดยผ่าน Digital Device ต่างๆ
  • โทรทัศน์ก็สามารถเข้าไปชมรายการย้อนหลังได้จากเว็บไซต์ช่องต่างๆ เราสามารถเลือกดูรายการ ที่เราพลาดชม หรือเลือกดูรายการโปรดได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะพลาดตอนจบของดอกส้มสีทอง
  • วิทยุก็กลายเป็นโทรทัศน์หรือเป็นเคเบิลทีวี เราสามารุฟังรายการวิทยุจากเว็บไซต์ หรือชมผ่านโทรทัศน์ก็ได้ ในขณะเดียวกันโทรทัศน์เองก็รายงานข่าวทั้งโทรทัศน์เองด้วยและก็ออกอากาศทางวิทยุ รวมถึงสามารถชมรายการสดๆทางอินเทอร์เน็ตได้อีกด้วย



จากตัวอย่างต่างๆ พบว่าอัตราการเติบโตใน Social Media สูงกว่าสื่อ Traditional Media







งานครั้งที่ 1 (17/06/55) : Assignment#3 
(การเปรียบเทียบอิทธิพลของ Social media กับ Traditional media ในยุคปัจจุบัน) 

นางสาวอาภาวดี เจจือ รหัสนักศึกษา 53040771 สาขาเทคโนโลยีการจัดการ ชั้นปีที่ 3 กลุ่มที่ 2

ใช้อินเทอร์เน็ตอย่างไรให้ปลอดภัย






หลักการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย

          ในปัจจุบันมีผู้ใช้บริการบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆทั่วโลก เพราะเป็นช่องทางที่สามารถติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงธุรกิจและพาณิชย์ในด้านต่างๆ ช่วยในเรื่องการลดระยะเวลาและต้นทุนในการติดต่อสื่อสาร แต่อย่างไรก็ตามผู้ใช้โดยทั่วไป ยังไม่เห็นความสำคัญ ของการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ปลอดภัยเท่าที่ควร เนื่องจากยังขาดความรู้ในการใช้งานและวิธีป้องกัน หรืออาจคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรมากในการใช้งาน แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นกับตัวเองแล้ว ก็ทำให้ตนเองเดือดร้อน เราสามารถป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้ ดังนี้ 


1. ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว


2. ไม่ส่งหลักฐานส่วนตัวของตนเองและคนในครอบครัวให้ผู้อื่น
     เช่น สำเนาบัตรประชาชน เอกสาร ต่างๆ รวมถึงรหัสบัตรต่างๆ เช่น เอทีเอ็ม บัตรเครดิต ฯลฯ


3. ไม่ควรโอนเงินให้ใครอย่างเด็ดขาด
     นอกจากจะเป็นญาติสนิทที่เชื่อใจได้จริงๆ


4. ไม่ออกไปพบเพื่อนที่รู้จักทางอินเทอร์เน็ต
     เว้นเสียแต่ว่าได้รับอนุญาตจากพ่อแม่ผู้ปกครอง และควรมีผู้ใหญ่หรือเพื่อนไปด้วยหลายๆ คน เพื่อ 
     ป้องกันการลักพาตัว หรือการกระทำมิดีมิร้ายต่างๆ


5. ระมัดระวังการซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต



     รวมถึงคำโฆษณาชวนเชื่ออื่นๆ เด็กต้องปรึกษาพ่อแม่ผู้ปกครอง โดยต้องใช้วิจารณญาณ พิจารณา
     ความน่าเชื่อถือของผู้ขาย


6. สอนให้เด็กบอกพ่อแม่ผู้ปกครองหรือคุณครู  ถ้าถูกกลั่นแกล้งทางอินเทอร์เน็ต 
(Internet Bullying)


7. ไม่เผลอบันทึกยูสเซอร์เนมและพาสเวิร์ด  ขณะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์สาธารณะ
     อย่าบันทึก! ชื่อผู้ใช้และพาสเวิร์ดของคุณบนเครื่องคอมพิวเตอร์นี้” อย่างเด็ดขาด เพราะผู้ที่มาใช้
     เครื่องต่อจากคุณ สามารถล็อคอินเข้าไป จากชื่อของคุณที่ถูกบันทึกไว้ แล้วสวมรอยเป็นคุณ หรือ 
     แม้แต่โอนเงินในบัญชีของคุณจ่ายค่าสินค้าและบริการต่างๆ ที่เขาต้องการ ผลก็คือคุณอาจหมดตัว
     และล้มละลายได้


8. ไม่ควรบันทึกภาพวิดีโอ หรือเสียงที่ไม่เหมาะสมบนคอมพิวเตอร์ หรือบนมือถือ
      เพราะภาพ เสียง หรือวีดีโอนั้นๆ รั่วไหลได้ เช่นจากการแคร็ก ข้อมูล หรือถูกดาวน์โหลดผ่าน 
     โปรแกรม เพียร์ ทู เพียร์ (P2P) และถึงแม้ว่าคุณจะลบไฟล์นั้นออกไปจากเครื่องแล้ว ส่วนใดส่วน
      หนึ่งของไฟล์ยังตกค้างอยู่ แล้วอาจถูกกู้กลับขึ้นมาได้ โดยช่างคอม ช่างมือถือ 


9. จัดการกับ Junk Mail จังค์ เมล์ หรือ อีเมล์ขยะ



     ปกติ การใช้อีเมล์จะมีกล่องจดหมายส่วนตัว หรือ Inbox กับ กล่องจดหมายขยะ Junk mail box 
     หรือBulk Mail เพื่อแยกแยะประเภทของอีเมล์ เราจึงต้องทำความเข้าใจ และเรียนรู้ที่จะคัดกรอง
     จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ด้วยตัวเอง เพื่อกันไม่ให้มาปะปนกับจดหมายดีๆ ซึ่งเราอาจเผลอไปเปิด
     อ่าน แล้วถูกสปายแวร์ แอดแวร์เกาะติดอยู่บนเครื่อง หรือแม้แต่ถูกไวรัสคอมพิวเตอร์เล่นงาน


10. จัดการกับแอดแวร์ สปายแวร์
       จัดการกับสปายแวร์แอดแวร์ที่ลักลอบเข้ามาสอดส่องพฤติกรรมการใช้เน็ตของคุณ ด้วยการซื้อ
       โปรแกรมหรือไปดาวน์โหลดฟรีโปรแกรมมาดักจับและขจัดเจ้าแอดแวร์ สปายแวร์ออกไปจาก
       เครื่องของคุณ แต่แค่มีโปรแกรมไว้ในเครื่องยังไม่พอ คุณต้องหมั่นอัพเดทโปรแกรมออนไลน์
       และสแกนเครื่องของคุณบ่อยๆด้วย เพื่อให้เครื่องของคุณปลอดสปาย ข้อมูลของคุณก็ปลอดภัย


11. จัดการกับไวรัสคอมพิวเตอร์
       คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจำเป็นต้องมีโปรแกรมสแกน
       ดักจับ และฆ่าไวรัส ซึ่งอันนี้ควรจะดำเนินการทันที
       เมื่อซื้อเครื่องคอม เนื่องจากไวรัสพัฒนาเร็วมาก 
       มีไวรัสพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นทุกวัน แม้จะติดตั้งโปรแกรม
       ฆ่าไวรัสไว้แล้วถ้าไม่ทำการอัพเดทโปรแกรมทาง
       อินเทอร์เน็ต เวลาที่มีไวรัสตัวใหม่ๆ  แอบเข้ามากับ
       อินเทอร์เน็ตเครื่องคุณก็อาจจะโดนทำลายได้



12. ใช้ Adult Content Filter ในโปรแกรม P2P
       สำหรับผู้ชื่นชอบการดาวน์โหลดผ่านโปรแกรมแชร์ข้อมูล P2P ให้ระวังข้อมูลสำคัญ ไฟล์ภาพ   
       วีดีโอส่วนตัว หรืออะไรที่ไม่ต้องการจะเปิดเผยสู่สาธารณะชน ควรบันทึกลงซีดี ดีวีดี หรือเทปไว้  
       อย่าเก็บไว้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะคุณอาจถูกเจาะเอาข้อมูลเหล่านี้ไปได้


13. กรองเว็บไม่เหมาะสมด้วย Content Advisor ในอินเทอร์เน็ต เอ็กซ์พลอเรอ
      ในโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ อย่างอินเทอร์เน็ต เอ็กซ์พลอเรอ ก็มีการตั้งค่า คอนเทนท์ แอดไวเซอร์
       หรือฟังก์ชั่น การกรองเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็ก ซึ่งจะทำให้เด็กไม่สามารถเปิดเข้าไปใน
       เว็บไซท์ที่มีภาพและเนื้อหา โป๊ เปลือย ภาษาหยาบคาย รุนแรงได้ และยังมีการตั้งพาสเวิร์ด หรือ   
       รหัสสำหรับผู้ปกครอง เพื่อกันเด็กเข้าไปแก้ไขการตั้งค่าของคุณ ซึ่งคุณสามารถเข้าไปปลดล็อก
      ได้ทุกเมื่อ ถ้าคุณจำเป็นต้องเข้าเว็บไซท์บางเว็บไซท์







งานครั้งที่ 1 (17/06/55) : Assignment#3 (การใช้อินเทอร์เน็ตอย่างไรให้ปลอดภัย)

นางสาวอาภาวดี เจจือ รหัสนักศึกษา 53040771 สาขาเทคโนโลยีการจัดการ ชั้นปีที่ 3 กลุ่มที่ 2

3 เทคนิคน่าสนใจในการใช้งานอินเตอร์เน็ต



เทคนิคที่ 1 

วิธีการบล็อก Pop-up ที่มากับเว็บไซต์

การเปิดดูข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆนั้น บางครั้งหรือบ่อยครั้ง เราอาจจะได้รับการรบกวน
จากหน้าต่าง Pop-up ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นหน้าต่างโฆษณา หากเราต้องการป้องกันการรบกวน
จากหน้าต่าง Pop-up เหล่านี้ เราสามารถทำได้โดยวิธีการดังต่อไปนี้





เทคนิคที่ 2 

การลบข้อมูลใน History

สำหรับนักท่องเว็บไซต์ที่ไม่ต้องการให้มีข้อมูลของเว็บไซต์ที่เราเปิดเข้าไปชมนั้น
หลงเหลืออยู่ในโปรแกรม Internet Explorer เราสามารถลบข้อมูลเว็บไซต์ทั้งหมด
ที่ถูกบันทึกไว้ใน History ออกไปจากโปรแกรม โดยวิธีการดังนี้






เทคนิคที่ 3

ทำอย่างไรให้ Search Engine จำคีย์เวิร์ดที่เคยพิมพ์ไปแล้ว

Search Engine คืออะไร ?  

คือ เครื่องมือช่วยค้นหาเว็บไซต์ หรือรูปภาพ 
ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีน่าจะเป็นเว็บไซต์ Google (https://www.google.co.th/

  • การขอความช่วยเหลือจาก Googleนั้น ผู้ใช้งานต้องพิมพ์คีย์เวิร์ดของเรื่องที่ต้องการรู้ลงไปในช่อง "ค้นหา" 
  • จากนั้น Google ก็จะช่วยค้นหาเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องให้ คราวนี้ หากเป็นคำที่พิมพ์บ่อยๆ พิมพ์ซ้ำๆ ถ้าเราไม่อยากพิมพ์เพราะคำยาวเกินไป เราสามารถตั้งค่าให้ Google ช่วยจำไว้ได้ 
  • และเมื่อเราพิมพ์แค่ตัวอักษรตัวแรก Google ก็จะมีรายการ แสดงขึ้นมาให้เลือกว่า ท่านต้องการพิมพ์คำว่าอะไร ถ้ามองดูแล้วมีคำที่ต้องการ  ก็เพียงแค่ใช้เมาส์คลิกเลือกได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์จนครบ 
  • ศัพท์ทางคอมพิวเตอร์เรียกวิธีนี้ว่า “AutoComplete” โดยมีวิธีการดังนี้




 วิธีการตั้งค่า AutoComplete












งานครั้งที่ 1 (17/06/55) : Assignment#2 (เทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานอินเตอร์เน็ต)

นางสาวอาภาวดี เจจือ รหัสนักศึกษา 53040771 สาขาเทคโนโลยีการจัดการ ชั้นปีที่ 3 กลุ่มที่ 2

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คำศัพท์น่ารู้เกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต




Browser


คือ โปรแกรมที่ใช้เรียกดูเว็บเพจในอินเตอร์เน็ต เช่น 
โปรแกรม Internet Explorer , Nestscape , Monster เป็นต้น


Client 


คือ เครื่องผู้ขอใช้บริการหรือเครื่องลูกข่าย โดยขอใช้บริการจากเครื่อง Server


DNS (Domain Name Server) 


คือ การนำเอาตัวอักษรที่จำง่ายมาใช้แทน IP Address เพื่อความสะดวกในการจดจำชื่อโดเมน


Download


คือ การโอนย้ายไฟล์หรือข้อมูลจากที่หนึ่ง 
เช่น การโอนไฟล์หรือข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตเข้ามาบันทึกเอาไว้ในเครื่องของเรา 
หรือว่าจากคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ เข้ามาบันทึกเอาไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา เป็นต้น


E-mail (Electronic Mail) 


คือ "จดหมายอิเล็กทรอนิกส์" ใช้สำหรับส่งจดหมายผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต 
ทำให้สามารถส่งจดหมายไปยังผู้ใช้ที่อยู่ห่างไกลได้อย่างรวดเร็ว สามารถรับส่งข้อมูลได้หลากหลาย
ทั้งรูปแบบที่เป็นข้อความ รูปภาพ หรือไฟล์ข้อมูลอีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการส่งจดหมายได้มาก


Freeware


คือ ซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้นและสามารถนำไปใช้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย


Home Page


คือ หน้าแรกของเว็บไซต์ เป็นหน้าดัชนีหรือรายการที่บอกรายละเอียดของเว็บไซต์นั้นๆ 
โฮมเพจจึงเปรียบเสมือนเป็นหน้าบ้านของเว็บไซต์นั่นเอง


Internet


คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่มีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายหลายๆ 
เครือข่ายทั่วโลกเข้าด้วยกัน ผ่านทางระบบการสื่อสาร โดยใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกัน
ระหว่างคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า โพรโทคอล (Protocol)


 Server 


คือ เครื่องคอมพิวเตอร์หรือระบบปฏิบัติการหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ที่ทำหน้าที่ให้บริการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างแก่เครื่องคอมพิวเตอร์ 
หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เป็นลูกข่ายในระบบเครื่อข่าย


World Wide Web (WWW หรือ W3 หรือ Web)


 คือ พื้นที่ที่เก็บข้อมูลข่าวสารที่เชื่อมต่อกันทางอินเทอร์เน็ต โดยการกำหนด URL 
จะให้บริการหรือเรียกดูข้อมูลผ่านการเชื่อมต่อทางอินเตอร์เน็ต ข้อมูลในเวิลด์ไวด์เว็บ 
จะอยู่ในแบบสื่อผสม หรือมัลติมีเดีย ที่มีทั้งตัวอักษร รูปภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหวแบบวิดีโอ 
ข้อมูลจะถูกแบ่งเป็นหน้าๆ แต่ละหน้าสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ เป็นแบบเครือข่ายคล้ายใยแมงมุม
จากแหล่งต่างๆ ที่กระจายอยู่ทั่วโลก 


Web Site หรือ Web Server


คือ แหล่งที่รวมหน้าเว็บเพจทุกๆ หน้าขององค์กรแห่งนั้นไว้ ซึ่งเจ้าของจะปรับปุรงข้อมูลเอง 
โดยเจ้าของเว็บไซต์ดังกล่าวอาจจะเป็นองค์กรของรัฐหรือเอกชน หรือเว็บไซต์ส่วนบุคคลก็ได้ 
หรือ Web Server คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งให้บริการที่เก็บเว็บไซต์ (Server) แล้วให้ผู้ใช้ (Client)
เรียกชมหน้าเว็บไซต์ได้โดยใช้โพรโทคอล HTTP ผ่านทางเว็บเบราว์เซอร์


Web Browser


คือ โปรแกรมค้นดูเว็บ ที่ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลและโต้ตอบกับข้อมูลสารสนเทศที่จัดเก็บในเว็บไซต์ได้


Hypertext


คือ ข้อมูลที่มีการจัดรูปแบบบนเว็บ จะเป็นข้อความ หรือกลุ่มของข้อความที่ถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน 
โดยมีการนำเสนอแบบปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ด้วยการนำข้อความที่ใช้มาเป็นจุดเชื่อมโยง 
ซึ่งจะปรากฏในลักษณะที่เด่นกว่าข้อความอื่น เช่น การขีดเส้นใต้ การเน้นด้วยสี ตัวหนา เป็นต้น







งานครั้งที่ 1 (17/06/55) : จงบอกความหมายของคำต่อไปนี้

นางสาวอาภาวดี เจจือ รหัสนักศึกษา 53040771 สาขาเทคโนโลยีการจัดการ ชั้นปีที่ 3  กลุ่มที่ 2